#วันนี้ครูส้มมาแนะนำ 8 ขั้นตอน การรีโนเวทเพื่อเพิ่มมูลค่า ว่าควรต้องทำอะไรบ้างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหรือความยุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- ประเมินงบประมาณตัวเอง
ก่อนการรีโรเวทบ้าน ซ่อมแซม หรือต่อเติมทุกครั้ง เราควรต้องตรวจดูงบประมาณของตัวเองว่ามีเท่าไหร่ พอที่จะรีโนเวท ซ่อมแซมทำใหม่ได้แค่ไหน เพื่อจะได้จัดการงบประมาณไม่ให้บานปลาย - ตั้งวัตถุประสงค์
การตั้งวัตถุประสงค์ ช่วยให้คุณไม่วอกแวก และมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังนั้น ก่อนคิดจะรีโนเวทบ้านต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า อยากรีโนเวทแบบไหน เช่น
– ปรับปรุงบ้านทั้งหลัง เนื่องจากสภาพเก่าทรุดโทรมมาก หรือมีความเสียหายหลายส่วน
– จัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยใหม่ให้มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น
– ซ่อมแซมบางส่วนที่เสียหาย โดยถือโอกาสปรับปรุงสภาพให้ดียิ่งขึ้น
– ปรับโฉมใหม่ตามสไตล์ หรือตามเทรนด์ เพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า - สำรวจพื้นที่ก่อนรีโนเวท หรือปรับปรุง
ก่อนที่จะรีโนเวทบ้าน ควรตรวจสอบส่วนต่างๆของบ้าน หรือพื้นที่ที่กำลังจะปรับปรุงว่า มีส่วนใดยังใช้งานได้ดีหรือมีส่วนใดที่เสียหายต้องซ่อมแซมทั้งก่อน และขณะลงมือปรับปรุงบ้าน โดยการทำ Check List ในแต่ละพื้นที่ตามประเภทการใช้งานต่างๆ โดยแบ่งเป็นงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม พื้นที่รอบบ้าน งานระบบไฟฟ้า งานระบบประปาและสุขาภิบาล รวมถึงระบบปรับอากาศ เพื่อปรับปรุงหรือแก้ไขให้เหมาะสม - หาแหล่งวัสดุ
สิ่งสำคัญเรื่องหนึ่งที่เราควรหาข้อมูลติดตัวไว้บ้างคือแบบบ้านที่ต้องการรีโนเวทนั้นเป็นรูปแบบไหน ส่วนใหญ่ใช้วัสดุอะไร ราคาในท้องตลาดอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ มีแบรนด์ไหนที่น่าสนใจบ้างและจะหาซื้อได้จากที่ไหน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้วัสดุที่ต้องการในราคาสมเหตุสมผลภายในงบประมาณที่เรากำหนดไว้นั่นเอง - สรุปงานที่ต้องการปรับปรุง
วิธีการสรุปงานที่ต้องปรับปรุง ต้องพิจารณางานจาก Check List ที่ทำไว้ในข้อที่ผ่านมา และสรุปเนื้องานที่ต้องการรีโนเวทหรือปรับปรุงตามวัตถุประสงค์ที่เราตั้งไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ตั้งไว้ - จัดงบประมาณในการปรับปรุงบ้าน
การใช้งบประมาณรีโรเวทบ้าน ไม่ใช่รีโนเวทบ้านอย่างเดียว หรือซ่อมแซมบ้านแค่นั้นคือจบ แต่ยังต้องใช้จ่ายในส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมี 3 ส่วนหลักๆคือ
– ค่าออกแบบโดยสถาปนิก มัณฑนากร วิศวกรโครงสร้าง และวิศวกรงานระบบต่างๆ
– ค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงไม่วว่าจะเป็น ค่าวัสดุ ค่าแรงก่อสร้าง ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า รวมถึงค่าดำเนินการต่างๆในระหว่างการก่อสร้าง
– ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าดำเนินการขออนุญาตปรับปรุงบ้านกับหน่วยงานราชการ (สำหรับกรณีที่จำเป็นต้องยื่นขออนุญาต) ค่าบริการที่ปรึกษางานก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งนอกจากนี้ยังต้องมีค่าใช้จ่ายสำรองในส่วนอื่นๆอีก ดังนั้น คุณควรตั้งงบประมาณให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้งบบานปลาย - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
นอกเหนือจากประสบการณ์ด้านการออกแบบแล้ว ประสบการณ์ด้านการควบคุมงาน และประสานงานก่อสร้าง เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาจส่งผลต่อความล่าช้าและงบประมาณในการปรับปรุงได้ ดังนั้นควรจะมีผู้ปรึกษาหรือผู้มีประสบการณ์ให้คำแนะนำว่าจะต้องเตรียมการหรือแก้ไขปัญหาหน้างานที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร - เผื่อค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
ต้องไม่ลืมเผื่อค่าใช้จ่ายฉุกเฉินไว้ด้วยเสมอ นักลงทุนที่รอบคอบจำเป็นต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็น หรือไม่ได้คาดหวังส่วนนี้ไว้เสมอ ซึ่งเรียกว่า “ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน (Contingency Expense)” ซึ่งปกตินิยมกำหนดกันไว้ที่ 10% – 20% ของงบประมาณในการซ่อมแซมและปรับปรุงบ้าน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหายามฉุกเฉินจะได้นำเงินส่วนนี้มาแก้ไขได้ทัน
อยากรีโนเวทเเล้วปัง
พิมพ์ “รีโนเวท”ให้ครูส้มค่ะ