- Zero Credit ไม่มีประวัติการชำระในระบบ
ในมุมนี้ธนาคารจะไม่สามารถ มั่นใจว่าคุณจะสามารถผ่อน กับธนาคารได้จริงมัย?
หรืออาจจะเคยมีหนี้เสียหรือเปล่า เเล้วเกิดการล้างระบบออกทั้งหมด เเละ คนนี้ไม่เคยเป็นหนี้มาเลย ธนาคารจะปฎิเสธรัวๆ
วิธีแก้
1. สมัครบัตรเครดิต ต้องรอเครดิตขึ้นอยู่ 6-12 เดือน เเต่ถ้าไม่มีเวลาให้เปิดของ UOB โดยใช้เเค่ 1 รอบบิล
2.ธอส. เเละออมสิน ซึ่ง 2 ธนาคารนี้ ไม่ซีเรียสเรื่อง Zero Credit (กู้ได้เลย) -
ภาระหนี้เต็ม เกินความสามารถ ในการกู้เกินที่ธนาคารกำหนด
ตัวอย่าง
มนุษย์เงินเดือน 30,000 บาท กู้ธนาคารออมสิน โดยกำหนด Capacity = 50% หมายความว่าธนาคารให้เงินกู้ คุณสูงสุดของ 50% ของรายได้ ยอดรวมผ่อนได้ไม่เกิน = 30,000 x 50% = 15,000 บาท/เดือนภาระหนี้เต็ม = ในบูโรมีการผ่อน ไปแล้วเกิน 15,000 บาท/เดือน
***หมายเหตุ*** บัตรเครดิต ถ้าคิดเป็นภาระจะคิดที่ 10% ของยอดที่ใช้เดือนล่าสุด
วิธีแก้
1.กรณีบัตรเครดิต ให้จ่ายบัตรเครดิตเเบบเต็มจำนวน รอบต่อไปให้ใช้บัตรให้น้อยที่สุด ก่อนยื่นกู้ 45 วัน
2.กรณีรถยนต์ ให้โยกรถ หรือย้ายชื่อ (ย้ายชื่อไปเป็นชื่อของคนอื่นก่อน) เพราะถ้ารักษาเครดิตดี สามารถยื่นกู้ใหม่ได้ง่ายๆ
3.กรณีสินเชื่อส่วนบุคคล ดอกเบี้ยอยู่ที่ 25-28% โดยการ Refinance รถหรือบ้านก็ได้ ดึงเงินส่วนเกินที่เราเคยผ่อนมาเเล้ว มาเครียร์ ปิดสินเชื่อส่วนบุคคล แล้วรอ 45 วัน
-
การชำระหนี้ไม่ตรงเวลา หรือค้างชำระ **สำคัญพอๆกับการติดเครดิตบูโร**
วิธีแก้
จ่ายที่ค้างทั้งหมด และกลับมาชำระให้ปกติ 6-12 เดือน เพราะประวัติจะถูกดันออกไป ธนาคารจะดูย้อนหลัง อยู่ที่ประมาณ 2-3 ปี แต่ ธอส. จะดู 3-6 เดือน -
มีประวัติการปรับโครงสร้างหนี้ (เปรียบเสมือนการติดเครดิตบูโร)
หมายถึงว่าเราไม่สามารถ ผ่อนชำระได้ เช่น กู้ไป 2 ล้าน ผ่อนเดือนละ 14,000 บาท (กู้ล้านละ 7,000 บาท) รู้สึกผ่อนไม่ไหว ขอเเบงค์จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สมมติดอกเบี้ย 5,600 บาท เเละทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร โดยปลี่ยนจากการผ่อนเดือนละ 14,000 บาท เป็นเดือนละ 7,000 บาท ซึ่งมันจะเเสดงในบูโรว่า เราเคยปรับโครงสร้างหนี้ เทียบเท่ากับการติดบูโรเลย **เสียเครดิต**
วิธีแก้
ไปคุยกับธนาคาร ขอเปลี่ยนสัญญาเเบบปกติ เเละผ่อนไป 6-12 เดือน ให้สถานะปกติก่อนยื่นกู้
-
การไม่ออมเงิน (ดูเจ้าของกิจการ เเละอาชีพอิสระ ส่วนพนักงานประจำไม่จำเป็น)
ปัญหาข้อนี้
อาจจะไม่มีผลในบางธนาคาร คือธนาคารจะดูเงินเก็บของคุณ ก็ต่อเมื่อธนาคารขาดความมั่นใจ ที่จะปล่อยกู้ให้คุณ ซึ่งการออมเงินเป็นการสร้างเครดิต ที่ดีให้กับตัวเอง เพื่อที่ทางธนาคาร จะมั่นใจได้ว่าเรามีวินัยทางการเงิน เเละมีเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
วิธีแก้
คุณควรจะมีเงินออม ในบัญชีธนาคาร เเบบฝากประจำ 5-10% ของราคาซื้อทรัพย์ เพราะธนาคารจะปล่อยสินเชื่อ LTV 90-95% ของราคาซื้อทรัพย์ คุณควรมีส่วนต่างการกู้ 5-10% ของราคาซื้อทรัพย์ จึงจะได้คะเเนนจากธนาคาร เพิ่มเติมทำให้กู้ผ่านง่ายขึ้น -
ปัญหาจากผู้กู้ร่วม การใช้ผู้ร่วมมีประโยชน์ 2 กรณี
1. เพิ่มระยะการกู้ให้นานขึ้น
2.เพิ่มวงเงินการกู้ให้สูงขึ้น
วิธีแก้
ในส่วนของประโยชน์ข้อเเรก การเพิ่มระยะการกู้ เราจะต้องหาผู้กู้ร่วมที่มีอายุน้อยกว่า เพราะจะได้การผ่อนได้นานขึ้น (อ้างอิงตามคนอายุน้อย) ธนาคารส่วนใหญ่ ปล่อยกู้ถึงอายุ 60-65 ปี ก็จะทำให้มีระยะเวลากู้นานขึ้นกว่าเดิม และมีผลให้ผ่อนต่อเดือนน้อยลง ทำให้วงเงินกู้ได้สูงขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ เราสามารถใช้รายได้ ของคนกู้ร่วมมาคิดด้วยได้ แต่ภาระบูโรต้องต่ำ (เพราะคนกู้ร่วมคิดให้ทั้งรายได้และภาระในบูโรภาระในบูโร) ต่ำ นี่คือประโยช์นของ การหาคนกู้ร่วมที่เหมาะสม -
การเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ไม่เหมาะกับธนาคารที่ยื่นกู้ เเละกำลังผ่อน
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ
อย่างเช่น เราซื้อบ้านราคา 2 ล้าน เราสามารถเลือกธนาคาร ที่ผ่อน 14,000, 12,000 และ 8,400 บาทถ้ามีรายได้ 28,000 บาท มีรายจ่ายต่อเดือนที่ 19,000 บาท รายจ่ายในบูโร 0 บาท รายจ่ายนอกบูโร 19,000 บาท ทำให้เหลือ Cashflow =28,000-19,000=9,000 บาท สามารถกู้ได้ทั้งธนาคารที่ผ่อน14,000, 12,000 และ 8,400 บาท เพราะความสามารถในการกู้ถึง แต่ในความเป็นจริง จาก Cashflow ที่เหลือที่ควรไปคือ ธนาคารที่ผ่อน 8,400 บาท หมายเหตุ : Cash Flow = ค่าใช้จ่ายในบูโร + ค่าใช้จ่ายนอกบูโร สมมติว่าหักลบเหลือที่ 9,000 บาท ก็ หมายความว่าความสามารถ ในการชำระอยู่ที่ประมาณ 9,000 บาทนั่นเอง
วิธีแก้
เราต้องเลือก Matching ทรัพย์ที่ซื้อกับธนาคาร และเงินที่เหลือตาม Cashflow ป้องกันการผ่อนไม่ไหว ในอนาคตและกลายเป็นหนี้เสีย -
ระบบการจ่ายเงิน ของบริษัทที่ทำงาน
ที่ทำงานบางที่นั้นมีการจ่ายเงินเดือน แบบการจ่ายเช็คหรือโอนเงินบุคคล แทนที่จะจ่ายแบบ Payroll(Code Salary) เพื่อตัดเข้าบัญชีอัตโนมัติ แบบที่บริษัททั่วๆไปทำ ซึ่งธนาคารที่ปล่อยกู้อาจจะมองว่าบริษัท ของคุณทำอาจจะสร้าง statement ขึ้นมาเองได้ ทำให้ธนาคารผู้ปล่องกู้เกิด ความไม่มั่นใจว่าบริษัท มีความมั่นคงพอที่จะปล่อยกู้หรือไม่
วิธีแก้
เสนอให้บริษัทไปใช้ธนาคาร ที่มีระบบ Pay roll ที่อยู่ในรูปเเบบของบริษัท เเละให้ส่งประกันสังคมในอัตรา ที่เท่ากับเงินเดือนจริงของคุณ
- ตัวผู้กู้อายุน้อย
โดยปกติธนาคารจะปล่อยกู้ ให้กับบุคคลที่มีอายุ 20ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เเละมีประวัติการขอเครดิตต่างๆ การผ่อนชำระอย่างมีวินัย 6-12 เดือนอีกด้วย
วิธีแก้
หากยังอายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ ให้จดทะเบียนสมรส เราจะบรรลุนิติภาวะได้โดยสภาพ หากอายุเกิน 20 ปีบริบูรณ์ ให้ทำบัตรเครดิต, บัตรเครดิต, ยื่นกู้อื่นๆ ถ้าหากว่าคุณมีบัตรเครดิต ของธนาคารนั้นๆ หรือถ้าหากว่าทำประกันชีวิต กับธนาคารนั้นๆมาก่อน การตอบรับอนุมัติการกู้เงิน ก็จะเป็นไปด้วยความราบรื่นมากขึ้น หรือทำเครดิตโดย ใช้เงินสดค้ำประกันก็ได้เช่นกัน - อื่น ๆ
เกิดได้หลายเหตุผล เเละวันนี้จะยกตัวอย่าง ที่เจอกันมาที่สุดอยู่ 2 เรื่องนี้คือ
1. การกู้ทรัพย์ ธนาคารจะปล่อย ให้ตามที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน หรือ ที่อยู่ตามที่ทำงานที่มี ความเกี่ยวข้องกับเรา เเต่ถ้าเป็นเหตุผลของการซื้อลงทุน จะเป็นประเด็นที่ธนาคาร จะไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้เราเด็ดขาด
2.ตรวจสอบบริษัท ซึ่งธนาคารจะดูว่าบริษัท มีกำไรย้อนหลังเท่าไหร่ เเต่ถ้าขาดทุน ก็จะเป็นประเด็นให้คุณกู้ไม่ผ่าน เพราะคุณก็มีความเสี่ยง ที่จะตกงานได้ไม่ยาก
วิธีแก้
ยื่นกู้ทุกธนาคารพร้อมๆกันไปเลย เพราะจะได้มีทางเลือกวงเงินสูงสุด ดอกเบี้ยน้อยสุด บูโรก็ไม่ช้ำ
10 สาเหตุที่ทำให้ยื่นกู้ไม่ผ่าน พร้อมวิธีแก้ไข
